อุปกรณ์ที่ผู้ป่วยสวมใส่ในการตรวจวัดความผิดปกติของสมอง (Wearing the detectives)
โดย พ.อ.ดร.น.พ.โยธิน ชินวลัญช์
วิสแบนด์ สมาร์ทวอทช์ และเครื่องมือในการตรวจวัดอาการชักและความผิดปกติของประสาทวิทยาเป็นเครื่องมือที่อาจจะมีความแม่นยำใช้ในการตรวจวัดและช่วยในการรักษาผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางสมอง ถ้าหากว่านาฬิกาข้อมือที่คุณใส่อยู่สามารถที่จะเตือนว่าจะมีอาการชักที่เกิดขึ้นและทำให้ผู้ป่วยสามารถที่จะเข้าไปอยู่ในบริเวณที่ปลอดภัยหรือหาคนช่วย หรือวิทย์แบนที่สามารถบอกอาการที่เป็นมากขึ้นของโรคปาร์กินสันจะทำให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนในนิยายวิทยาศาสตร์ที่ปัจจุบันได้เป็นจริงแล้วในการใช้ตรวจวัดดูผู้ป่วยและผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงทางประสาทวิทยา การใช้อุปกรณ์ที่สวมใส่ในการตรวจวัดและสามารถให้การเตือนเมื่อผู้ป่วยมีความผิดปกติ ที่เกิดขึ้น จะไม่เหมือนกับวิธีการเก่าฯที่จะต้องมีการจดบันทึก เช่น ในสมุดบันทึกอาการชักในปฏิทิน ในวิทย์แบนและในโทรศัพท์มือถือ app สามารถที่จะบันบันทึกอาการที่เป็นได้ทันทีในขณะนั้นทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นละเอียดและถูกต้องในวันนั้นฯ ข้อมูลที่ได้ก็จะเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ข้อมูลเหล่านี้ที่ถูกต้องอาจจะเป็นข้อมูลที่สามารถใช้เป็นการเตือนผู้ป่วยว่าจะเกิดเหตุการณ์ผิดปกติที่จะเกิดขึ้น
อุปกรณ์รุ่นแรกได้มีการพัฒนาเพื่อจะได้ผู้ป่วยโรคลมชักโดยเป็นระบบที่จะมีอาการเตือนให้คนข้างเคียงหรือคนในครอบครัวทราบว่าผู้ป่วยจะมีการอาการชักที่เกิดขึ้น ปัจจุบันเครื่องมือได้มีการพัฒนาที่ซับซ้อนมากขึ้นสามารถที่จะบันทึกอาการชักจากการเปลี่ยนแปลงในอิริยาบถการเดินและอาการอื่นๆที่เกิดขึ้นก่อนจะเกิดอาการชัก
การใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในการรักษาผู้ป่วยโรคลมชัก
ผู้ป่วยโรคลมชักโดยปรกติแล้วจะมาติดตามการรักษากับแพทย์ทุกๆ 1- 3 เดือน ถ้าผู้ป่วยมีอาการที่แย่ลงหรือมีอาการชักที่มากขึ้นแพทย์มักจะมีการปรับยาเพื่อคุมอาการชักดังนั้นถ้ามีอุปกรณ์เหล่านี้ในการบันทึกวัดจำนวนของอาการชักจะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพที่ดีขึ้อุปกรณ์เหล่านี้จะให้ข้อมูลที่แม่นยำดีกว่าที่บ่งบอกว่าผู้ป่วยมีอาการชักมากน้อยแค่ไหนและแพทย์ก็จะทราบว่ายาตัวไหนที่จะเหมาะกับผู้ป่วยในรายนั้น ปัจจุบันได้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ในเมืองไทยใช้เองแล้วและมีการใช้ที่หน่วยโรคลมชัก ร.พ.พระมงกุฏเกล้า ชึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากเครื่องมือถือที่ใช้ระบบแอนดรอยด์และ
ในอนาคตอันใกล้ก็สามารถใช้ในระบบ iPhone ได้ ในซอฟต์แวร์ระบบนี้ผู้ป่วยสามารถที่จะบัน
ทึกอาการชักในขณะนั้นในแต่ละวันรวมทั้งอาการผิดปกติหรือผลข้างเคียงจากยาที่เกิดขึ้น ในโทรศัพท์มือถือและข้อมูลเหล่านี้ก็จะส่งเข้าไปที่ Server ซึ่งจะเชื่อมโยงโดยตรงกับข้อมูลของผู้ป่วยในระบบข้อมูลของแพทย์ในทันทีทำให้แพทย์สามารถให้การรักษาหรือแก้ไขภาวะที่เกิดขึ้นได้ทันที นอกจากนี้ระบบนี้ยังมีการเชื่อมโยงไปถึงระบบฐานข้อมูลทำให้แพทย์ทราบถึงความเป็นไปของผู้ป่วยทำให้การรักษามีประสิทธิภาพดีขึ้นนอกจากนี้ระบบนี้ยังมีการเชื่อมโยง ไปยังระบบโซเชียลเน็ตเวิร์ค แช่น facebook, twitter เป็นต้นทำให้ผู้ป่วยสามารถที่จะสื่อสารระหว่างผู้ป่วยด้วยกันเองและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ดีขึ้น


อุปกรณ์เหล่านี้จะสามารถบันทึกอาการชักที่เกิดขึ้นได้ทั้งในขณะตื่นและขณะนอนหลับ โดยบันทึกการเคลื่อนไหวของแขนขาในขณะที่ผู้ป่วยมีอาการชัก ต่อมาในการพัฒนาการของเครื่องมือก็สามารถที่จะบันทึกถึงอาการชักแบบอื่นๆด้วยโดยที่เครื่องมือที่สามารถวัดการเปลี่ยนแปลงความชื้นของผิวหนังซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าสมองของผู้ป่วยที่มีอาการชักแบบเหม่อลอย ที่มักจะชักอยู่นานประมาณ 2 นาทีรวมทั้งผู้ป่วยจะมีอาการส่งเสียงหรือเคลื่อนไหวเล็กน้อยและรวมทั้งบันทึกการเปลี่ยนแปลงของการเต้นของหัวใจ ซึ่งเรามักจะพบว่าหัวใจมักจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เต้นเร็วขึ้นในขณะที่มีอาการชัก นอกจากนี้อุปกรณ์เสริมเช่นการวางขั้วไฟฟ้าที่บริเวณศีรษะเพื่อบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมองโดยตรง โดยมีการประดิษฐ์อุปกรณ์ที่สามารถสวมใส่ได้สะดวกโดยที่มีขั้วไฟฟ้าที่บันทึกคลื่นไฟฟ้าลมองจากศรีษะโดยตรง
อุปกรณ์การตรวจวัดอาการทางระบบการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยที่เป็นโรค Multiple sclerosis
ในปีที่แล้ว บริษัทไบโอเจน เป็นบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์ในการรักษาผู้ป่วยโรคนี้ได้ ร่วมมือกับบริษัท Google-X ในการศึกษาการใช้วิทย์แบนฟิคบิดในการติดตามการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยเพื่อดูคุณภาพของการเดินและการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงในผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ในปีที่แล้วได้มีการแจกอุปกรณนี้ให้แก่ผู้ป่วยที่เป็นโรค multiple sclerosis 250 รายเพื่อติดตามดูการเคลื่อนไหวการนอนหลับ นอกจากนี้มีการพัฒนาตัวซอฟต์แวร์ ใน iPad ที่สามารถที่จะบันทึกการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ แต่อย่างไรก็ตามตัววิทย์แบนด์นี้ยังไม่ซับซ้อนเพียงพอในการที่จะบันทึกแยกรูปแบบการเคลื่อนไหวผู้ป่วยคงต้องจะมีการพัฒนาต่อไป จากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร journal of bio-medical materials and engineering โดยการใช้อุปกรณ์ ที่ติดที่ส้นรองเท้าในผู้ป่วย multiple sclerosis 8 ราย เปรียบเทียบกับผู้ป่วยปกติ 6 ราย เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนไหวและการเดิน จากการศึกษาพบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในผู้ป่วยเกี่ยวกับเรื่องการเดินเปรียบเทียบกับคนปกติ อุปกรณ์นี้จะใช้ในการศึกษาภาวะการทดถอยของการเดินในผู้ป่วยโรคได้ นอกจากนี้มีการนำอุปกรณ์นี้ไปศึกษาในผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้อ muscular dystrophy เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของอาการของตัวโรคและช่วยทำให้แพทย์เข้าใจในการรักษาผู้ป่วยและการปรับยา ให้กับผู้ป่วย
ในการศึกษาปี 2014 ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Visualized Experiments ในการศึกษาโดยใช้ iPad ติดในหลังของผู้ป่วยมีการตรวจวัดความจำของสมองหรือการตรวจ cognitive performance test เพื่อจะช่วยในการวัดความผิดปกติของผู้ป่วยmultiple sclerosis เปรียบเทียบ อาการทดถอยของการเคลื่อนไหวของป่วย เปรียบเทียบกับกลไกของเรื่องความจำของสมอง คือตั้งใจเอาอุปกรณ์มาติดในผู้ป่วยเพื่อวัดความยืดหยุ่นของร่างกาย วิธีการตรวจเหล่านี้คงได้มีการพัฒนาเพื่อไปใช้ในการตรวจวัดการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยวัดความเร็วของการเดินการทรงตัวและความยืดหยุ่นของร่างกายในผู้ป่วยที่เป็นโรค multiple sclerosis ซึ่งจะทำให้แพทย์เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงและการของโลกที่มากขึ้นและจะได้มีปั่นปรับเปลี่ยนการรักษาเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อุปกรณ์ที่สวมใส่ในผู้ป่วยโรคปาร์กินสัน
เมื่อเร็วๆนี้นักวิจัยในประเทศอิสราเอล ได้ร่วมมือกับมูลนิธิ Michael J Fox ได้มีการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถที่จะวิเคราะห์อาการเคลื่อนไหวต่างๆ 300 อิริยาบถ ในแต่ละวันของป่วยโรคปาร์กินสัน ข้อมูลจะถูกเก็บมาจากอุปกรณ์สมาร์ทวอทช์ซึ่งเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อใช้วิธีการวิเคราะห์และสังเกตเช่นผู้ป่วย ลุกจากเก้าอี้ได้ยากง่ายแค่ไหน ลุกจากเตียงหรือยกสิ่งของ การเปิดขวด การใช้อุปกรณ์เครื่องครัวในบ้าน ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยทำให้แพทย์ใช้ในการวิเคราะห์อาการความรุนแรงของผู้ป่วยได้อย่าง มีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าในขณะนี้จะมีจำนวนผู้ป่วยไม่มากนักที่ใช้อุปกรณ์เหล่านี้ได้ แต่ในอนาคตอันใกล้จะมีการใช้ของอุปกรณ์ในจำนวนที่มากขึ้น แม้กระทั่งบริษัท Apple ได้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ใน iPhone เรียกว่า Parkinson mPower จะเก็บข้อมูลของผู้ป่วยโรคปาร์กินสัน software ตัวนี้สามารถที่จะวัดความยืดหยุ่นของผู้ป่วยโดยการวัดดูว่าผู้ป่วยสามารถที่จะพิมพ์ได้เร็วมากน้อยขนาดไหน ผู้ป่วยสามารถบันทึกเสียงในแต่ละวันที่จะช่วยทำให้นักวิจัยสามารถดูการเปลี่ยนแปลงเรื่องของการสั่น ที่จะบ่งบอกถึงอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย โดยการใช้ การเชื่อมต่อ iPhone กับที่พี่เอสทำให้ทราบถึงการเคลื่อนไหวและความเร็วของการเคลื่อนไหวของผู้ป่วย และยังสามารถที่จะวัดการทรงตัว Software ตัวนี้สามารถที่จะดาวน์โหลดจาก Apple store
The Biostamp

อุปกรณ์นี้เป็นเหมือนแผ่นเทปเล็กๆขนาดเท่าแสตมป์ที่สามารถติดที่ผิวหนัง ใตยพลาสเตอร์แบนด์เอดอุปกรณ์นี้พัฒนาโดย โดย MC10 โดยมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในอุปกรณ์นี้จะมีเซ็นเซอร์เล็กๆที่จะเก็บข้อมูลของการเคลื่อนไหวและกิจกรรมในสมองและกล้ามเนื้อและจะส่งข้อมูลแบบไร้สายเข้าไปในสมาร์ทวอทช์ ในขณะนี้ได้มีการพัฒนาเครื่องมือนี้มาใช้ในผู้ป่วยโรคลมชักและโรคทางสมองอื่น เชื่อว่าจะได้เอามาใช้ในการดูการเปลี่ยนแปลงของตัวโรคและช่วยในการรักษาผู้ป่วยในอนาคตอันใก้ล
Embrace

ตอนนี้เป็นสมาร์ทวอทช์ที่ผู้ป่วยจะสวมใส่แล้วก็ชนิดกันตรวจวัดอาการชักในสมองโดยใช้หลักการบันทึกการเปลี่ยนแปลงของกระแสฟ้าในบริเวณผิวหนังหรืออุปกรณ์สามารถตรวจจับว่ามีคลื่นไฟฟ้าที่เป็น เริ่มต้นก่อนจะเกิดการชักเกิดขึ้น เครื่องก็จะส่งสัญญาณไปเตือนให้ผู้สวมใส่ว่าจะมีการชักจะเกิดขึ้น จะได้เป็นการป้องกันหรือเตรียมตัวก่อนจะเกิดอาการชักเกิดขึ้น แต่ในปัจจุบันเครื่องมือชนิดนี้สามารถบันทึกโดยเฉพาะ อาการชักที่มีการเคลื่อนไหวที่เป็นบอกว่าเป็นอาการชักแต่ยังไม่สามารถบันทึกการชักแบบเหม่อลอยหรือ absence ได้แต่การวิจัยยังดำเนินต่อไปเพื่อที่เครื่องมือชนิดนี้สามารถที่จะตรวจวัดอาการชักแบบเหม่อลอยได้ ถ้าผู้ป่วยมีอาการ automatisms เช่น เคี้ยวปาก (chewing) ขยับแขนไปมา (fumbling) หรือเดินไปมาขณะมีอาการชัก (wandering)
Brain Sentinel

อุปกรณ์ชนิดนี้ใช้หลักการโดยการใช้ขั้ว ไฟฟ้ายึดติดกับการ กล้ามเนื้อ bicep เพื่อจะตรวจวัดในการ เคลื่อนไหวของของแขน เวลามีอาการ ชักแบบ tonic-clinic seizure อุปกรณ์นี้จะช่วยในการตรวจวัดอาการชักที่มีจุดกำเนิดในส่วนของสมอง motor cortex หรือมีการกระจายของไฟฟ้าสมองมากที่ส่วนนี้ อุปกรณ์นี้ไม่สามารถตรวจวัดอาการชักที่เป็นชนิดชักแบบเหม่อลอยได้
Seizalarm

เป็นแอพที่ใช้ใน iwatch และ iPhone ใช้ในการส่งข้อมูลข้อความช่วยเหลือเมื่อ มีอาการเตือนจะเกิดอาการชัก นอกจากนี้มีฟังก์ชัน ที่ช่วยบันทึกจำนวนของการชัก ผู้ป่วยสามารถที่จะตั้งค่าให้มีการส่งข้อมูลช้าลงในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเตือนอย่างเดียวและผู้ป่วยสามารถที่จะระงับการส่งข้อมูลได้ถ้าไม่มีอาการชักแบบไม่รู้ตัว แต่ถ้าไม่มีระงับการส่งข้อมูลนั้นแสดงว่าแสดงว่าผู้ป่วยมีอาการไม่รู้ตัวไปแล้ว การส่งข้อมูลสามารถส่งเป็นข้อความอีเมลและทางโทรศัพท์โดยสัมพันธ์กับตำแหน่ง GPS การใช้บริการแอพนี้สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีแต่ใช้ได้ในเวลาจำกัดหลังจากนั้นแล้วจะต้องมีค่าเสียค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน ในอนาคตอาจจะมีการพัฒนา Seizalarm สามารถบันทึกอาการชักที่แบบชนิดเกร็งกระตุกได้
Smartwatch

อุปกรณ์การพัฒนาครั้งแรกในปี 2012 ใน San Jose, California, U.S.A. อุปกรณ์นี้จะช่วยเตือน ผู้ป่วย และผู้ดูแลว่าผู้ป่วยมีอาการชัก ส่วนใหญ่อุปกรณ์นี้จะใช้ในผู้ป่วยโรคลมชักที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีพบว่าช่วยในการบันทึกอาการชักในขณะนอนหลับ อุปกรณ์นี้ก็ยังอยู่ในช่วงขออนุญาตจาก FDA ในประเทศ สหรัฐอเมริกา ราคาค่าอุปกรณ์จะตกอยู่ประมาณ 149 US dollar และมีค่าใช้จ่ายรายเดือนตกประมาณ 20 เหรียญต่อเดือน แต่ถ้ามีการบันทึกลงใน GPS และมีการเตือนเรื่องการทานยาด้วยมีราคาประมาณ 199 เหรียญและค่าสมาชิกรายเดือนประมาณ 30 เหรียญต่อเดือน
จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์เหล่านี้ถ้าจะเอามาใช้ในผู้ป่วยโรคลมชักในประเทศไทยจะมีค่าใช้จ่ายที่มากพอสมควรอาจจะทำให้ผู้ป่วยโรคลมชักส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะซื้อหาหรือใช้อุปกรณ์เหล่านี้ได้ดังนั้น หน่วยโรคลมชักโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้ร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยี NECTEC พัฒนาอุปกรณ์ Thai Smart watch เพื่อเป็นอุปกรณ์ในการตรวจวัดอาการชักชนิดแบบเกร็งกระตุกหรือแบบเหม่อลอย โดยในขณะนี้ได้มีการเอาอุปกรณ์เครื่องมือมาใช้ในผู้ป่วยโรคลมชักบ้างแล้ว

ในอนาคตอันใกล้การใช้อุปกรณ์ที่สวมใส่ในผู้ป่วยในการตรวจวัดอาการชักที่เกิดขึ้นจะมีการนำไปร่วมกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษาที่จะยับยั้งอาการชักไม่ให้เกิดขึ้น เช่น อุปกรณ์การตรวจวัดอาการชักอาจจะมีการทำงานร่วมกันกับอุปกรณ์ที่จะส่งกระแสไฟฟ้าไปที่สมองไปยับยั้งอาการชักหรืออาจจะทำงานร่วมกันกับอุปกรณ์ที่จะให้ยาเข้าไปผู้ป่วยเพื่อยับยั้งอาการชักที่จะเกิดขึ้น ในส่วนของผู้ป่วยเองการที่ผู้ป่วยทราบว่าอาการชักกำลังจะเกิดขึ้นจะทำให้ผู้ป่วยสามารถที่จะเตรียมตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดจากอาการชักได้
ระดับที่สูงของ DHA มีความจำเป็นสำหรับการพัฒนาสมองที่ปกติ


They classified unprovoked seizures into two broad categories: a 



ในผู้สูงอายุ ซึ่งการรักษาโรคลมชักก็ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาสำหรับผู้ป่วยโรคลมชัก ทั้งนี้คอลัมน์ Cover Story ฉบับนี้ได้รับเกียรติจาก พ.อ.(พิเศษ) ดร.นพ.โยธิน ชินวลัญช์ หัวหน้าหน่วยโรคลมชัก ประสาทวิทยา กองอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคลมชักได้มาให้รายละเอียดเกี่ยวกับโรคลมชัก และนวัตกรรมการรักษาโรค
โรคลมชัก เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าภายในสมอง สมองของคนเราจะมีการทำงานของเซลล์ประสาท ซึ่งเซลล์ประสาทจะทำงานโดยใช้กระแสไฟฟ้าภายในสมองส่งต่อ ถ้ากระแสไฟฟ้าภายในสมองมีความผิดปกติเกิดขึ้นก็จะทำให้เกิดอาการชักขึ้น ซึ่งอาการชักมีหลากหลายด้วยกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสมองที่มีความผิดปกติ
การตรวจวินิจฉัยโรคลมชักมีวิธีการตรวจค่อนข้างจะหลากหลาย ที่สำคัญที่ในปัจจุบันใช้เรียกว่า การตรวจคลื่นสมอง (EEG) คลื่นไฟฟ้าสมองเป็นสิ่งที่ช่วยในการยืนยันทางคลินิก ซึ่งการตรวจคลื่นสมองมีหลายรูปแบบ เบื้องต้นเรียกว่าการตรวจแบบธรรมดา หรือ routine ถ้าผู้ป่วยมีอาการชักหรือมีอาการสงสัยชักก็จะนำผู้ป่วยมาตรวจไฟฟ้าสมองประมาณ 16 สาย เพื่อวัดคลื่นไฟฟ้าออกมา โดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง บางครั้งอาจจะต้องให้ผู้ป่วยอดนอนมาแล้วมาตรวจ เพื่อเป็นการกระตุ้นทำให้วัดคลื่นไฟฟ้าสมองได้ง่ายขึ้นประมาณ 10-20% แต่อย่างไรก็ตามการตรวจชนิดนี้ยังไม่ได้ผล 100% ในการตรวจพบความผิดปกติ จะมีการตรวจในขั้นตอนต่อไป เรียกว่า การตรวจคลื่นสมองประกอบภาพวิดีทัศน์ (video EEG monitoring) เป็นการตรวจ 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยต้องมานอนที่โรงพยาบาล และมีการบันทึกคลื่นไฟฟ้าใน 24 ชั่วโมง เมื่อมีอาการเกิดขึ้นใน 24 ชั่วโมง ก็จะสามารถเห็นและบันทึกไว้ ถ้าหากไม่พบความผิดปกติ อาจต้องตรวจต่อไป 3-5 วัน
ล่าสุดเรานำการตรวจคลื่นสมอง(EEG) มารวมกับ MRI Scan เรียกว่า EEG fMRI เมื่อทำคลื่นไฟฟ้าสมอง เรานำผู้ป่วยไปในเครื่อง MRI Scan ซึ่งผู้ป่วยจะติดตัวขั้วไฟฟ้าไว้ เข้าไปบันทึกใน MRI Scan โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง สามารถนำข้อมูล EEG มารวมกับข้อมูลของ MRI Scan ทำให้หาตำแหน่งที่ทำให้เกิดการชักได้ เครื่องมือนี้ได้มีใช้ในบ้านเรา
ผู้ป่วยที่ดื้อต่อยา 30% คือกลุ่มที่ทานยากันชักอย่างน้อย 2 ตัวขึ้นไป แล้วไม่สามารถควบคุมอาการชักได้ ในกลุ่มที่ดื้อต่อยากันชักส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีรอยโรคในสมองค่อนข้างชัดเจน ซึ่งในกลุ่ม 30% ที่ดื้อต่อยา เราจะพิจารณานำผู้ป่วยมาตรวจตำแหน่งที่ทำให้เกิดการชัก การรักษาที่เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง คือ การผ่าตัด
นั่นเป็นสิ่งที่เน้นย้ำว่าการผ่าตัดโรคลมชักในปัจจุบันค่อนข้างจะปลอดภัยและได้ผลมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ เพราะว่าการผ่าตัดที่เตรียมการไม่ดีอาจจะมีผลต่อความสำเร็จในการที่จะทำให้ผู้ป่วยหยุดอาการชักลดลงไป หรืออาจจะทำให้เกิดผลแทรกซ้อนได้ ซึ่งการผ่าตัดเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยโรคลมชักที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยากันชัก อย่างน้อย 50% ที่สามารถรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดได้
การติดตามการรักษา เราจะใช้ประเมินดูตามอาการชักของผู้ป่วยเป็นหลัก และดูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย อันดับแรกจะดูเรื่องจำนวนชัก ผู้ป่วยทุกคนต้องทำ SEIZURE CALENDAR เพื่อบันทึกการชัก ปัจจุบันมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ เป็น SEIZURE CALENDAR แบบใช้ใน App สามารถ Download App ในเครื่อง Android ซึ่งเราจะนำผู้ป่วยมาลงทะเบียน จากนั้นให้เขา Down Load App เมื่อผู้ป่วยชักเขาก็จะกดว่ามีอาการชัก ชักกี่ครั้ง แบบไหน มีผลข้างเคียงอะไรหรือไม่ ทุกอย่างมีข้อมูลเป็นขั้นตอน เมื่อผู้ป่วยกดข้อมูลจะมาที่ server ข้อมูลจะมาที่ระบบ Databaseวินิจฉัยออกมาเป็นกราฟ ตรงนี้เป็นการใช้ IT เข้ามาในการบันทึก SEIZURE CALENDAR ได้แม่นยำมากขึ้น เพราะพบว่าการให้ผู้ป่วยบันทึกบางครั้งผู้ป่วยอาจลืม และจดบันทึกไม่ถูกประมาณ 50% เพราะฉะนั้นการใช้ App ซึ่งปัจจุบันทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ จะทำให้การบันทึกกราฟแม่นยำและสะดวกมากขึ้น ยกตัวอย่าง ถ้าผู้ป่วยมีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง App จะส่งเตือนแพทย์ ข้อมูลจะแสดงว่าเขาเริ่มมีปัญหาเรื่องของทานยา หรือชักมาก สามารถจะส่งตอบกลับได้ ข้อดีของการใช้ App นี้ทำให้เราสามารถดึงผู้ป่วยทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นกลุ่มได้ ทำให้มี social network ของโรคลมชักใน facebook และ twitter ทำให้สามารถเข้ามาแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน และมา chat กัน ซึ่ง Software นี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการทดสอบอยู่ คาดว่าคงมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคลมชัก และแพทย์สามารถติดตามได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าผู้ป่วยจะไม่ได้มาโรงพยาบาลทุกวัน ทำให้ข้อมูลนี้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
บทบาทของแพทย์คือ 1. จะต้องเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องตัวโรคค่อนข้างดีพอสมควร จะต้องมีความรู้ในแนวลึกพอสมควร เพราะว่าการรักษาผู้ป่วยโรคลมชัก ต้องประเมินว่าผู้ป่วยเป็นโรคนี้ขนาดไหน มากหรือน้อย ผู้ป่วยกลุ่มไหนควรใช้ยา หรือต้องใช้วิธีการผ่าตัด จะต้องมีความรู้ที่ดีเกี่ยวกับเรื่องยา ทั้งในเรื่องการออกฤทธิ์ของยา ผลข้างเคียงจากการใช้ยา เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องอธิบายผู้ป่วยอย่างละเอียด เพราะเขาต้องทานยาระยะยาว ยกตัวอย่าง ผู้ป่วยโรคลมชักตั้งครรภ์ เมื่อให้ยาไปทาน ก็ต้องคุยกับผู้ป่วยแนวลึกเลยว่ายาจะมีผลกระทบต่อเด็กในท้องหรือไม่ ถ้าคลอดออกมาแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร หรือจะให้นมลูกได้หรือเปล่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้แพทย์จะต้องมีความรู้ที่ดี ถ้าไม่มีความรู้ และให้ความรู้ผิดๆ ก็เป็นอันตรายกับผู้ป่วยพอสมควร หรือการสั่งยากันชักให้ในกลุ่มที่ไม่ควรให้ เช่น ผู้ป่วยโรคลมชักที่เป็นผู้สูงอายุ ปรากฏว่าให้ยากันชักในกลุ่มที่ทานเข้าไปยิ่งทำให้กระดูกบาง เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ต้องมีความรับผิดชอบ